วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562

อักษรเป็นภาพ




ม.6/9 ฤว รุ่น 72 ปี 2562


HOMEPAGE







                                                                                                                                                                        1. นาย อลงกรณ์ กล่ำม่วง ม.6/9 เลขที่ 1












































































วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

วิธีการซักผ้าสำหรับเช็ดทำความสะอาดภายในโรงพยาบาล

เชื้อแบคทีเรียยังคงอยู่ในผ้าขนหนูที่ใช้ในการทำความสะอาดห้องพักในโรงพยาบาล แม้หลังจากการซักทำความสะอาดแล้ว ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผ้าขนหนูลดประสิทธิภาพของน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ในโรงพยาบาลลง
Healthcare_002_L.jpgจากผลการศึกษาล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร American Journal of Infection Control พบว่า 93% ของตัวอย่างผ้าเช็ดทำความสะอาดห้องพักในโรงพยาบาลที่นำมาซักและใช้ใหม่ที่นำมาทดสอบนั้น มีเชื้อแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับในระหว่างรับการรักษาโรคอื่นๆอยู่ (Healthcare Associated Infection; HAIs) หลายคนอาจไม่คาดคิดว่าการมาโรงพยาบาลจะทำให้ป่วยได้ แต่ HAIs เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญเป็นอย่างมาก ด้วยจำนวนผู้ป่วยจากอาการดัง
กล่าวประมาณ1.7ล้านรายต่อปีที่พบในสหรัฐอเมริกาแม้ว่าทางโรงพยาบาลจะมีวิธีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคที่เข้มงวดเพื่อ ป้องกันการติดเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับในระหว่างรับการรักษาโรค หากแต่ผลการศึกษาพบว่าหลายคนอาจไม่คาดคิดว่าการมาโรงพยาบาลจะทำให้ป่วยได้ แต่ HAIs เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญเป็นอย่างมาก ด้วยจำนวนผู้ป่วยจากอาการดังกล่าวประมาณ1.7ล้านรายต่อปีที่พบในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าทางโรงพยาบาลจะมีวิธีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับในระหว่างรับการรักษาโรค หากแต่ผลการศึกษาพบว่า วิธีการทความสะอาดแบบดั้งเดิมของโรงพยาบาลนั้น ไม่เพียงพอที่จะกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่มีชีวิตออกจากผ้าเช็ดทำความสะอาดได้ จากการวิจัย "การปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากผ้าเช็ดทำความสะอาดในโรงพยาบาลที่นำมาใช้ซ้ำ (Microbial contamination of hospital reusable cleaning towels)"โดย Charles Gerba ศาสตราจารย์ภาควิชาจุลชีววิทยามหาวิทยาลัยแอริโซนา และเพื่อนร่วมงานจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา ด้วยการสนับสนุนจากคิมเบอร์ลี-คล๊าคพบว่า
  • วิธีการทำความสะอาดโดยการซักอบรีดนั้น ไม่เพียงพอที่จะกำจัดแบคทีเรียที่เป็นอันตรายที่อาจพบได้ในผ้าที่นำมาใช้ซ้ำและผ้าไมโครไฟเบอร์ที่มักใช้ในการทำความสะอาดห้องพักในโรงพยาบาล
  • 93% จากจำนวนผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ใช้เป็นตัวอย่างในการทดสอบทั้งหมด พบว่ามีเชื้อแบคที่เรียที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ เชื้อ E. coli (ก่อให้เกิดโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ) เชื้อโคลิฟอร์ม (แบคทีเรียที่เป็นตัวบ่งชี้ของเชื้ออันเกี่ยวกับอุจจาระ) และ Klebsiella (สาเหตุของโรคปอดบวม UTIs และการติดเชื้ออื่นๆ)
  • 67% ของถังใส่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคทั้งหมด มีแบคทีเรียที่มีชีวิต รวมถึงแบคทีเรียที่สร้างสปอร์ (ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษและบาดทะยัก) และเชื้อโคลิฟอร์ม
Infographic-original_web.jpg
จากการวิจัยอีกฉบับหนึ่ง "ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่วางจำหน่ายทั่วไป ซึ่งมีสารประกอบประเภท Quaternary Ammonium Compounds (QACs) เป็นส่วนผสม เมื่อสัมผัสกับผ้าฝ้าย (Decreased activity of commercially available disinfectants containing quaternary ammonium compounds (QACs) when exposed to cotton towels)"ซึ่งจัดทำโดยทีมงานพบว่ามีผลการศึกษาในแนวทางเดียวกัน กล่าวคือ ผ้าเช็ดทำความสะอาดทำจากผ้าฝ้ายที่นำกลับมาใช้ใหม่นั้นทำให้ความเข้มข้นของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่ใช้ในโรงพยาบาล (QACs) มีประสิทธิภาพลดลงถึง 85.3%
การทบทวนขั้นตอนที่สำคัญ
วิธีการทำความสะอาดที่เหมาะสมในโรงพยาบาลมีบทบาทสำคัญในการลดการแพร่กระจายของแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิด HAIs และมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานพยาบาลที่ผู้ป่วยซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออาจไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้
การกำจัดเชื้อโรคที่ได้ผลจะต้องประกอบด้วย2องค์ประกอบที่สำคัญ อันได้แก่ การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่มีความเข้มข้นที่เหมาะสมและวิธีการทำให้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคสัมผัสพื้นผิว โดยทั่วไปแล้ว พนักงานทำความสะอาดจะนำผ้าเช็ดทำความสะอาดจุ่มในน้ำยาฆ่าเชื้อ (QAC หรือ สารฟอกขาว) จนกว่าจะนำไปใช้งาน และทำการบิดผ้าให้หมาดก่อนนำไปใช้ทำความสะอาดพื้นผิวภายในห้องพักผู้ป่วย หลังจากนั้น ผ้าเช็ดทำความสะอาดจะถูกนำไปซักล้างภายในสถานพยาบาลหรือพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้สำหรับการซักล้างโดยเฉพาะ โดยผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ผ่านกระบวนการซักอบรีดแล้วจะถูกเก็บและนำไปใช้ในกระบวนการเดิมซ้ำอีกครั้ง
จากการศึกษาในเบื้องต้นพบว่า เมื่อผ้าเช็ดทำความสะอาดสัมผัสกับน้ำยาฆ่าเชื้อโรคภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่น 30 วินาที จะส่งผลให้สารทำความสะอาดไม่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency) กำหนดไว้ ทั้งนี้ ยังพบว่าผ้าไมโครไฟเบอร์มีแบคทีเรียในระดับสูงเนื่องจากการมีความสามารถในการดูดซับของเหลวได้ดี จากงานศึกษาก่อนหน้านี้ในเรื่องเชื้อจุลินทรีย์ในผ้าเช็ดทำความสะอาดยังชี้ให้เห็นว่าHealthcare_027_L.jpg
ยิ่งผ้าเช็ดทำความสะอาดมีความสามารถในการดูดซับได้ดีมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอาศัยอยู่ในผ้าเช็ดทำความสะอาดได้มาก ขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่าเชื้อ Staphylococcus สามารถอยู่รอดได้ถึง 19-21 วันในผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ทำจากผ้าฝ้าย
"พื้นฐานสำคัญสำหรับการลดการติดเชื้อที่มีประสิทธิภาพ คือ การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบนพื้นผิวต่างๆ เช่น ในห้องพักของผู้ป่วยและพื้นที่ต่างๆของโรงพยาบาล" David Koenig, Ph.D. หัวหน้าแผนกการวิจัยเชิงเทคนิคในการวิจัยภายในองค์กรและวิศวกรรม บริษัท คิมเบอร์ลี-คล๊าค กล่าว "วิธีการที่ดีที่สุดที่แนะนำให้ทางโรงพยาบาลปฏิบัติ คือ การใช้กระบวนการฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดผ้าเช็ดทำความสะอาดและผ้าไมโครไฟเบอร์ที่นำมาใช้งานซ้ำหรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสของการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียไปสู่พื้นผิวที่ผู้ป่วยและพนักงานอาจสัมผัส"
Kimberly-Clark และธุรกิจสถานพยาบาล
Healthcare_011_S.jpgผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทั่วโลกหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อันหลากหลายของ Kimberly-Clark เพื่อช่วยสร้างสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วยและพนักงาน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของการรักษาพยาบาล ผู้ให้บริการเลือกใช้ Kimberly-Clark ในการมอบบริการด้านสุขอนามัยและการทำความสะอาดรวมถึงข้อมูลทางการศึกษาวิจัยที่พวกเขาสามารถพึ่งพาได้ เพื่อป้องกัน วินิจฉัยและจัดการกับความหลากหลายของการติดเชื้อที่อาจเกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสุขภาพ ด้วยการพัฒนาและดูแลอย่างต่อเนื่อง




อ้างอิง 
http://www.activeteam1999.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=53

10 แลนมาร์คน่าเที่ยว ประเทศอาเซียน

 รู้จักกันดีอยู่แล้ว สำหรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Association of South East Asian Nations) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “อาเซียน” (ASEAN)  ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ ได่แก่ พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา บรูไน และประเทศไทย ของเรานี่เอง 
        เราอาจจะรู้ที่ตั้ง วัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศอาเซียนกันมาบ้าง แต่วันนี้พิเศหน่อย เพราะเราจะพาไปดู แลนมาร์คสวย ตระการตา ของแต่ละประเทศสมาชิก ว่ามีอะไรบ้าง แต่ละที่น่าเดินทางไปเที่ยว สัมผัสด้วยตามากๆ บอกเลย

1.เจดีย์ชเวดากอง,ประเทศพม่า  ตั้งตระหง่าน ณ กรุงย่างกุ้ง เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ รวม 8 เส้น ของพระพุทธเจ้า มีประวัติตำนานเก่าแก่กว่า 2,000 ปี หนังสือ Guinness Book of Records ได้จัดให้พระเจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก นับเป็นแลนมาร์คที่ชาวพม่าและนักเที่ยวนิยมไปสักการะและขอพรไม่เคยขาดสาย 
2.นครวัด,ประเทศกัมพูชา   ถ้าพูดถึงกัมพูชาทุกคนต้องคิดถึงทีนี่ก่อนเลย เพราะปราสาทแห่งนี้ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกด้วย  ตั้งอยู่ที่เมือง เมืองพระนคร จังหวัดเสียมราฐ ก่อสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โดยเป็นศาสนสถานประจำของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน
3.มัสยิดโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน,ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ตั้งอยู่ในบันดาร์เสรีเบกาวัน เมืองหลวงของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม   เป็นมัสยิดเก่าแก่ สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ สุลต่าน โอมาร์ อาลี ไซฟุดดิน ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 28 ของบรูไน ซึ่งมัสยิดหลังนี้ออกแบบและดำเนินการสร้างโดยสุลต่าน โอมาร์ อาลี ไซฟุดดิน ซึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และโดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 
4.ประตูชัย,ประเทศลาว  ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหลวงเวียงจันทน์ สร้างเสร็จในปี พ.ศ 2512 เพื่อ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้ที่เสียสละชีวิต ในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ สถาปัตของประตูชัยแห่งนี้ ได้รับอิทธิพลประตูชัยจากประเทศฝรั่งเศส แต่ก็มีกลิ่นอายของความเป็นประเทศลาว เช่น พระพุทธรูปศิลปะ ภาพมหากาพย์รามายะณะ เป็นต้น  ที่สำคัญที่นี่ค่าชมถูกมากประมาณ 2,000 กลีบเท่านั้นเอง 
5.ตึกแฝกปิโตนาส,ประเทศมาเลเซีย   อาคาร 88 ชั้น ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ หรือที่รู้จักกันดีในนาม KLCC ได้ชื่อว่าเป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก ได้รับแรงบันดาลใจ จากรูปทรงเรขาคณิตของ สถาปัตยกรรมอิสลาม ออกแบบโดยซีซาร์ เปลลิ สถาปนิกเชื้อสายอาร์เจนตินา-อเมริกัน ชั้น 4 ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยและได้รับความนิยมมาก ชั้นอื่นๆ มี ที่ช็อปปิ้ง พิพิธภํณฑ์สัตว์น้ำ และศูนยืประชุม เรียกได้ว่าตึกเดียว ครบ ทุกรสชาติ 
6.เมอร์ไลอ้อน,ประเทศสิงคโปร์  รู้จักกันดีอยู่แล้ว สำหรับแลนมาร์คของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นรูปปั้นหัวสิงโต ข้างล่างเป็นปลา พ่นน้ำตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง โดยเจ้ารูปปั้นนี้ สูงมากกว่า 8.6 เมตร น้ำหนักมากกว่า 70 ตัน ทำจากซีเมนต์  ออกแบบขึ้นในปี 2507 โดย นายฟราเซอร์ บรูนเนอร์  นอกจากจะเป็นแลนมาร์คสำคัญแล้วยังเป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์อีกด้วย
7.บุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย  หรือ กลุ่มวัดบุโรพุทโธ  (Borobudur Temple Compounds) คือ สถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของศาสนาพุทธลัทธิมหายาน  เป็สถานที่ท่องเที่ยว และสิ่งศักสิทธิ์ของอินโดนีเชีย ขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 13-14  ตั้งอยู่ที่จังหวัดชวากลาง เกาะชวา สร้างจากหินลาวา มีพื้นที่มากกว่า 55,000 ตร.ม.  และได้รับยกย่องว่าเป็นมรดกโลกด้วย 
8.อ่าวฮาลอง, ประเทศเวียดนาม อีกชื่อหนึ่งคือ ฮาลอง เบย์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมีโอกาสไปเยือนเวียดนาม เพราะนอกจากจะได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก เป็น่สวนหนึ่งของอ่าวตังเกี่ย เป้นชายแดนที่ติดต่อกับประเทศจีน วิวทิวทํสน์สวยงาม  มีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล และมีน้ำเสาไม้ ซึ่งได้รับความนิยมจากงนั่งเที่ยวมากๆ จากตัวเมืองฮานอยมีรถบัส ระยะทาง 160 กิโลเมตรเท่านั้นเอง 

9.ป้อมปราการอินทรามูรอส,ประเทศฟิลิปปินส์ เมืองโบราณยุคล่าอาณานิคม ริมแม่น้ำพาซิก ตั้งอยู่ที่กรุงมะนิลา  สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1571 โดยชาวเสปนที่เข้ามาสร้างอาณานิคม เป็นมรดกอารยธรรมทางประวัติศาสตร์  มีลักษะเป็นป้อมและกำแพงเมือง มีพื้นที่มากกว่า 395 ไร่  ที่นี่เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าใช่จ่ายใดๆ ค่ะ 
10.วัดพระแก้ว ,ประเทศไทย หรือที่รู้จักกันดีในนาม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ได้รับความนิยมจากนักเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก โดยแลนมาร์คที่นักท่องเที่ยวนิยมกันมากเป็นพิเศษคือ เหล่ายักษ์ที่เฝ้าประตูต่างๆ อยู่รอบวัดนั่นเอง 
    เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำกรับแลนมาร์คสำคัญทั่วอาเซียนที่เรานำมาฝากกันในครั้งนี้ บอกเลยว่าเก็บกระเป๋าไปเที่ยวมาก จะว่าไปแถบอาเซียนของเราก็มีที่เที่ยวสวยๆ ไม่แพ้ภูมิภาคอื่นเลยน่ะ