วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

วิธีการซักผ้าสำหรับเช็ดทำความสะอาดภายในโรงพยาบาล

เชื้อแบคทีเรียยังคงอยู่ในผ้าขนหนูที่ใช้ในการทำความสะอาดห้องพักในโรงพยาบาล แม้หลังจากการซักทำความสะอาดแล้ว ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผ้าขนหนูลดประสิทธิภาพของน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ในโรงพยาบาลลง
Healthcare_002_L.jpgจากผลการศึกษาล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร American Journal of Infection Control พบว่า 93% ของตัวอย่างผ้าเช็ดทำความสะอาดห้องพักในโรงพยาบาลที่นำมาซักและใช้ใหม่ที่นำมาทดสอบนั้น มีเชื้อแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับในระหว่างรับการรักษาโรคอื่นๆอยู่ (Healthcare Associated Infection; HAIs) หลายคนอาจไม่คาดคิดว่าการมาโรงพยาบาลจะทำให้ป่วยได้ แต่ HAIs เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญเป็นอย่างมาก ด้วยจำนวนผู้ป่วยจากอาการดัง
กล่าวประมาณ1.7ล้านรายต่อปีที่พบในสหรัฐอเมริกาแม้ว่าทางโรงพยาบาลจะมีวิธีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคที่เข้มงวดเพื่อ ป้องกันการติดเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับในระหว่างรับการรักษาโรค หากแต่ผลการศึกษาพบว่าหลายคนอาจไม่คาดคิดว่าการมาโรงพยาบาลจะทำให้ป่วยได้ แต่ HAIs เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญเป็นอย่างมาก ด้วยจำนวนผู้ป่วยจากอาการดังกล่าวประมาณ1.7ล้านรายต่อปีที่พบในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าทางโรงพยาบาลจะมีวิธีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับในระหว่างรับการรักษาโรค หากแต่ผลการศึกษาพบว่า วิธีการทความสะอาดแบบดั้งเดิมของโรงพยาบาลนั้น ไม่เพียงพอที่จะกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่มีชีวิตออกจากผ้าเช็ดทำความสะอาดได้ จากการวิจัย "การปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากผ้าเช็ดทำความสะอาดในโรงพยาบาลที่นำมาใช้ซ้ำ (Microbial contamination of hospital reusable cleaning towels)"โดย Charles Gerba ศาสตราจารย์ภาควิชาจุลชีววิทยามหาวิทยาลัยแอริโซนา และเพื่อนร่วมงานจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา ด้วยการสนับสนุนจากคิมเบอร์ลี-คล๊าคพบว่า
  • วิธีการทำความสะอาดโดยการซักอบรีดนั้น ไม่เพียงพอที่จะกำจัดแบคทีเรียที่เป็นอันตรายที่อาจพบได้ในผ้าที่นำมาใช้ซ้ำและผ้าไมโครไฟเบอร์ที่มักใช้ในการทำความสะอาดห้องพักในโรงพยาบาล
  • 93% จากจำนวนผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ใช้เป็นตัวอย่างในการทดสอบทั้งหมด พบว่ามีเชื้อแบคที่เรียที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ เชื้อ E. coli (ก่อให้เกิดโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ) เชื้อโคลิฟอร์ม (แบคทีเรียที่เป็นตัวบ่งชี้ของเชื้ออันเกี่ยวกับอุจจาระ) และ Klebsiella (สาเหตุของโรคปอดบวม UTIs และการติดเชื้ออื่นๆ)
  • 67% ของถังใส่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคทั้งหมด มีแบคทีเรียที่มีชีวิต รวมถึงแบคทีเรียที่สร้างสปอร์ (ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษและบาดทะยัก) และเชื้อโคลิฟอร์ม
Infographic-original_web.jpg
จากการวิจัยอีกฉบับหนึ่ง "ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่วางจำหน่ายทั่วไป ซึ่งมีสารประกอบประเภท Quaternary Ammonium Compounds (QACs) เป็นส่วนผสม เมื่อสัมผัสกับผ้าฝ้าย (Decreased activity of commercially available disinfectants containing quaternary ammonium compounds (QACs) when exposed to cotton towels)"ซึ่งจัดทำโดยทีมงานพบว่ามีผลการศึกษาในแนวทางเดียวกัน กล่าวคือ ผ้าเช็ดทำความสะอาดทำจากผ้าฝ้ายที่นำกลับมาใช้ใหม่นั้นทำให้ความเข้มข้นของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่ใช้ในโรงพยาบาล (QACs) มีประสิทธิภาพลดลงถึง 85.3%
การทบทวนขั้นตอนที่สำคัญ
วิธีการทำความสะอาดที่เหมาะสมในโรงพยาบาลมีบทบาทสำคัญในการลดการแพร่กระจายของแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิด HAIs และมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานพยาบาลที่ผู้ป่วยซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออาจไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้
การกำจัดเชื้อโรคที่ได้ผลจะต้องประกอบด้วย2องค์ประกอบที่สำคัญ อันได้แก่ การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่มีความเข้มข้นที่เหมาะสมและวิธีการทำให้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคสัมผัสพื้นผิว โดยทั่วไปแล้ว พนักงานทำความสะอาดจะนำผ้าเช็ดทำความสะอาดจุ่มในน้ำยาฆ่าเชื้อ (QAC หรือ สารฟอกขาว) จนกว่าจะนำไปใช้งาน และทำการบิดผ้าให้หมาดก่อนนำไปใช้ทำความสะอาดพื้นผิวภายในห้องพักผู้ป่วย หลังจากนั้น ผ้าเช็ดทำความสะอาดจะถูกนำไปซักล้างภายในสถานพยาบาลหรือพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้สำหรับการซักล้างโดยเฉพาะ โดยผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ผ่านกระบวนการซักอบรีดแล้วจะถูกเก็บและนำไปใช้ในกระบวนการเดิมซ้ำอีกครั้ง
จากการศึกษาในเบื้องต้นพบว่า เมื่อผ้าเช็ดทำความสะอาดสัมผัสกับน้ำยาฆ่าเชื้อโรคภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่น 30 วินาที จะส่งผลให้สารทำความสะอาดไม่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency) กำหนดไว้ ทั้งนี้ ยังพบว่าผ้าไมโครไฟเบอร์มีแบคทีเรียในระดับสูงเนื่องจากการมีความสามารถในการดูดซับของเหลวได้ดี จากงานศึกษาก่อนหน้านี้ในเรื่องเชื้อจุลินทรีย์ในผ้าเช็ดทำความสะอาดยังชี้ให้เห็นว่าHealthcare_027_L.jpg
ยิ่งผ้าเช็ดทำความสะอาดมีความสามารถในการดูดซับได้ดีมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอาศัยอยู่ในผ้าเช็ดทำความสะอาดได้มาก ขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่าเชื้อ Staphylococcus สามารถอยู่รอดได้ถึง 19-21 วันในผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ทำจากผ้าฝ้าย
"พื้นฐานสำคัญสำหรับการลดการติดเชื้อที่มีประสิทธิภาพ คือ การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบนพื้นผิวต่างๆ เช่น ในห้องพักของผู้ป่วยและพื้นที่ต่างๆของโรงพยาบาล" David Koenig, Ph.D. หัวหน้าแผนกการวิจัยเชิงเทคนิคในการวิจัยภายในองค์กรและวิศวกรรม บริษัท คิมเบอร์ลี-คล๊าค กล่าว "วิธีการที่ดีที่สุดที่แนะนำให้ทางโรงพยาบาลปฏิบัติ คือ การใช้กระบวนการฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดผ้าเช็ดทำความสะอาดและผ้าไมโครไฟเบอร์ที่นำมาใช้งานซ้ำหรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสของการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียไปสู่พื้นผิวที่ผู้ป่วยและพนักงานอาจสัมผัส"
Kimberly-Clark และธุรกิจสถานพยาบาล
Healthcare_011_S.jpgผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทั่วโลกหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อันหลากหลายของ Kimberly-Clark เพื่อช่วยสร้างสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วยและพนักงาน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของการรักษาพยาบาล ผู้ให้บริการเลือกใช้ Kimberly-Clark ในการมอบบริการด้านสุขอนามัยและการทำความสะอาดรวมถึงข้อมูลทางการศึกษาวิจัยที่พวกเขาสามารถพึ่งพาได้ เพื่อป้องกัน วินิจฉัยและจัดการกับความหลากหลายของการติดเชื้อที่อาจเกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสุขภาพ ด้วยการพัฒนาและดูแลอย่างต่อเนื่อง




อ้างอิง 
http://www.activeteam1999.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=53

10 แลนมาร์คน่าเที่ยว ประเทศอาเซียน

 รู้จักกันดีอยู่แล้ว สำหรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Association of South East Asian Nations) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “อาเซียน” (ASEAN)  ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ ได่แก่ พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา บรูไน และประเทศไทย ของเรานี่เอง 
        เราอาจจะรู้ที่ตั้ง วัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศอาเซียนกันมาบ้าง แต่วันนี้พิเศหน่อย เพราะเราจะพาไปดู แลนมาร์คสวย ตระการตา ของแต่ละประเทศสมาชิก ว่ามีอะไรบ้าง แต่ละที่น่าเดินทางไปเที่ยว สัมผัสด้วยตามากๆ บอกเลย

1.เจดีย์ชเวดากอง,ประเทศพม่า  ตั้งตระหง่าน ณ กรุงย่างกุ้ง เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ รวม 8 เส้น ของพระพุทธเจ้า มีประวัติตำนานเก่าแก่กว่า 2,000 ปี หนังสือ Guinness Book of Records ได้จัดให้พระเจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก นับเป็นแลนมาร์คที่ชาวพม่าและนักเที่ยวนิยมไปสักการะและขอพรไม่เคยขาดสาย 
2.นครวัด,ประเทศกัมพูชา   ถ้าพูดถึงกัมพูชาทุกคนต้องคิดถึงทีนี่ก่อนเลย เพราะปราสาทแห่งนี้ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกด้วย  ตั้งอยู่ที่เมือง เมืองพระนคร จังหวัดเสียมราฐ ก่อสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โดยเป็นศาสนสถานประจำของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน
3.มัสยิดโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน,ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ตั้งอยู่ในบันดาร์เสรีเบกาวัน เมืองหลวงของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม   เป็นมัสยิดเก่าแก่ สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ สุลต่าน โอมาร์ อาลี ไซฟุดดิน ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 28 ของบรูไน ซึ่งมัสยิดหลังนี้ออกแบบและดำเนินการสร้างโดยสุลต่าน โอมาร์ อาลี ไซฟุดดิน ซึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และโดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 
4.ประตูชัย,ประเทศลาว  ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหลวงเวียงจันทน์ สร้างเสร็จในปี พ.ศ 2512 เพื่อ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้ที่เสียสละชีวิต ในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ สถาปัตของประตูชัยแห่งนี้ ได้รับอิทธิพลประตูชัยจากประเทศฝรั่งเศส แต่ก็มีกลิ่นอายของความเป็นประเทศลาว เช่น พระพุทธรูปศิลปะ ภาพมหากาพย์รามายะณะ เป็นต้น  ที่สำคัญที่นี่ค่าชมถูกมากประมาณ 2,000 กลีบเท่านั้นเอง 
5.ตึกแฝกปิโตนาส,ประเทศมาเลเซีย   อาคาร 88 ชั้น ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ หรือที่รู้จักกันดีในนาม KLCC ได้ชื่อว่าเป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก ได้รับแรงบันดาลใจ จากรูปทรงเรขาคณิตของ สถาปัตยกรรมอิสลาม ออกแบบโดยซีซาร์ เปลลิ สถาปนิกเชื้อสายอาร์เจนตินา-อเมริกัน ชั้น 4 ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยและได้รับความนิยมมาก ชั้นอื่นๆ มี ที่ช็อปปิ้ง พิพิธภํณฑ์สัตว์น้ำ และศูนยืประชุม เรียกได้ว่าตึกเดียว ครบ ทุกรสชาติ 
6.เมอร์ไลอ้อน,ประเทศสิงคโปร์  รู้จักกันดีอยู่แล้ว สำหรับแลนมาร์คของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นรูปปั้นหัวสิงโต ข้างล่างเป็นปลา พ่นน้ำตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง โดยเจ้ารูปปั้นนี้ สูงมากกว่า 8.6 เมตร น้ำหนักมากกว่า 70 ตัน ทำจากซีเมนต์  ออกแบบขึ้นในปี 2507 โดย นายฟราเซอร์ บรูนเนอร์  นอกจากจะเป็นแลนมาร์คสำคัญแล้วยังเป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์อีกด้วย
7.บุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย  หรือ กลุ่มวัดบุโรพุทโธ  (Borobudur Temple Compounds) คือ สถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของศาสนาพุทธลัทธิมหายาน  เป็สถานที่ท่องเที่ยว และสิ่งศักสิทธิ์ของอินโดนีเชีย ขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 13-14  ตั้งอยู่ที่จังหวัดชวากลาง เกาะชวา สร้างจากหินลาวา มีพื้นที่มากกว่า 55,000 ตร.ม.  และได้รับยกย่องว่าเป็นมรดกโลกด้วย 
8.อ่าวฮาลอง, ประเทศเวียดนาม อีกชื่อหนึ่งคือ ฮาลอง เบย์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมีโอกาสไปเยือนเวียดนาม เพราะนอกจากจะได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก เป็น่สวนหนึ่งของอ่าวตังเกี่ย เป้นชายแดนที่ติดต่อกับประเทศจีน วิวทิวทํสน์สวยงาม  มีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล และมีน้ำเสาไม้ ซึ่งได้รับความนิยมจากงนั่งเที่ยวมากๆ จากตัวเมืองฮานอยมีรถบัส ระยะทาง 160 กิโลเมตรเท่านั้นเอง 

9.ป้อมปราการอินทรามูรอส,ประเทศฟิลิปปินส์ เมืองโบราณยุคล่าอาณานิคม ริมแม่น้ำพาซิก ตั้งอยู่ที่กรุงมะนิลา  สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1571 โดยชาวเสปนที่เข้ามาสร้างอาณานิคม เป็นมรดกอารยธรรมทางประวัติศาสตร์  มีลักษะเป็นป้อมและกำแพงเมือง มีพื้นที่มากกว่า 395 ไร่  ที่นี่เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าใช่จ่ายใดๆ ค่ะ 
10.วัดพระแก้ว ,ประเทศไทย หรือที่รู้จักกันดีในนาม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ได้รับความนิยมจากนักเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก โดยแลนมาร์คที่นักท่องเที่ยวนิยมกันมากเป็นพิเศษคือ เหล่ายักษ์ที่เฝ้าประตูต่างๆ อยู่รอบวัดนั่นเอง 
    เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำกรับแลนมาร์คสำคัญทั่วอาเซียนที่เรานำมาฝากกันในครั้งนี้ บอกเลยว่าเก็บกระเป๋าไปเที่ยวมาก จะว่าไปแถบอาเซียนของเราก็มีที่เที่ยวสวยๆ ไม่แพ้ภูมิภาคอื่นเลยน่ะ 


10 วิธีลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี


INFOGRAPHIC : 10 วิธีช่วยลดน้ำหนักได้ผลแบบง่ายๆ

สดสวยพยายามย้ำมาโดยตลอดว่า ‘การลดน้ำหนัก’ นั้นต้องใช้ 2 วิธีที่ได้ผลจริงและได้ผลอย่างยาวนานนั่นคือ การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เพื่อนๆ จะใช้ทริคอื่นๆ ร่วมด้วยไม่ได้นะคะ เราสามารถใช้กลยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการลดน้ำหนักของเราให้ได้ผลเร็วและดีมากขึ้นได้ค่ะ

แน่นอนว่าสดสวยได้นำมาฝากกันแล้วอีก 10 วิธีที่ช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผล

  1. ดื่มน้ำมากๆ วันละ 1,500 มิลลิลิตร
  2. งดน้ำหวาน โซดา ทุกประเภท
  3. ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30-45 นาที ไม่ว่างสุดให้เหลือ 20 นาทีก็ยังดีค่ะ
  4. เลือกกินผักผลไม้หลากสี
  5. นอนให้พอ
  6. กินเฉพาะเวลาหิว เลิกสปอยล์ตัวเอง
  7. พยายามแบ่งสัดส่วนการกิน ใน 1 มื้อควรมีครบ ให้สัดส่วนกับผักและโปรตีนมากที่สุด
  8. จดไปว่าใน 1 วัน กินอะไรบ้าง ออกกำลังกายอะไรไปแล้วบ้าง
  9. อย่ากินตอนดูทีวี
  10. พยายามสร้างกล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวช่วยเพิ่มพื้นในการเผาผลาญนั่นเอง

จำแบบตัวหนังสือยากไป อย่างนั้นลองเซฟรูปนี้ไว้เตือนใจก็ได้ค่ะ :)









10 อาหารไทยยอดนิยม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อาหารไทยยอดนิยม 10 อันดับ
          










อันดับที่ 10 Por Pia Tord or Fried Spring Roll (ปอเปี๊ยะทอด)





ปอเปี๊ยะทอด เป็นอาหารทานเล่นที่หากินได้ยากพอสมควร ซึ่งทำมาจากแป้งห่อด้วยไส้ที่ทำมาจากส่วนผสมของวุ้นเส้น หมูสับ ไข่ไก่ แป้งข้าวโพด เกลือป่น แครอท กระหล่ำปี ซอสถั่วเหลือง น้ำตาลทราย น้ำมันพืช พริกไทยป่น ที่ผ่านการผักเข้าด้วยกันมาแล้วถูกห่อด้วยแป้งปอเปี๊ยะแล้วนำไปทอด จิ้มกินกับน้ำจิ้มต่างๆ ที่เราชอบส่วนใหญ่จะใช้น้ำจิ้มบ๋วย ให้รสชาติที่กรอบ อร่อย ไม่เหมือนใคร


อันดับที่ 9 Gai Pad Met Mamuang or Cashew Nuts In Stir-Fried Chicken (ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์)
ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ คือการเอาเนื้อส่วนที่เป้นอกไก่มาผัดน้ำมันหอยให้เข้ากับเครื่องเทศต่างๆ โดยใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไปผัดด้วย เรียกได้ว่าเป็นเมนูที่อร่อย เด็ดแน่นอนหากได้ลองทาน


อันดับที่ 8 Som Tam or Spicy Papaya Salad (ส้มตำ)

ส้มตำ เป็นอาหารสุดฮิตของคนไทยและยังดังไกลไปถึงต่างประเทศอีกด้วย ส้มตำจะมีหลายตำมากๆ มีทั้งตำไทย ตำปู ตำโคราช ตำถั่ว ตำแตง เป็นต้น บอกได้เลยว่าอร่อยทุกตำแนน่ๆ


อันดับที่ 7 Moo Sa-Te or Grilled Pork Sticks with Turmeric (หมูสะเต๊ะ)
หมูสะเต๊ะ คือการนำเนื้อหมูส่วนสะโพก มามักกับผงขมิ้นและเครื่องเทศต่างๆ จากนั้นก็นำมาเสียบไม้แล้วนำไปย่าง โดยจะต้องกินคู่กับผักที่แช่ไว้กับน้ำส้มสายชู พร้อมด้วยน้ำจิ้มของหมูสะเต๊ะโดยเฉพาะ รสชาติจะออกละมุนหวานหอมอร่อย และถ้ายิ่งได้ทานคู่กับผักที่แช่ไว้กับน้ำส้มสายชูแล้วด้วยยิ่งทำให้การกินหมูสะเต๊ะอร่อยและเลี่ยนอีกด้วย

 
อันดับที่ 6 Panaeng or Meat in Spicy Coconut Cream (พะแนงหมู )
พะแนงหมู คืออาหารขายดีของไทยและนิยมทานกันมากหากินได้ง่าย โดยที่พะแนงหมูนั้นทำมาจาก การนำหมูเป็นชิ้นๆ มาผัดให้เข้ากับเครื่องพริกแกงใส่ใบมะกรูด พริกขี้ฟ้า และใบโหระพา และที่ขาดไม่ได้คือกะทิ เมื่อได้ทานเข้าไปจะได้รสชาติที่กลมกล่อม หอมหวาน อร่อย นิยมทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ


อันดับที่ 5 Tom Yam Gai or Chicken Soup (Spicy) (ต้มยำไก่)
ต้มยำไก่ คืออาหารที่ครบเครื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรุงหรือเครื่องเทศก็มาเต็มในเมนูนี้ยิ่งใส่เนื้อสัตว์ลงไปยิ่งทานได้อร่อยมากขึ้น เป็นเมนูที่หาทานได้ง่ายมีรสชาติครบรส เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ได้อย่างลงตัว ถือว่าเป็นเมนูที่คนไทยนิยมกินมากอีกเมนูหนึ่งด้วย


อันดับที่ 4 Tom Yam Goong or Spicy Shrimp Soup (ต้มยำกุ้ง)
ต้มยำกุ้ง เช่นเดียวกับ ต้มยำไก่จะต่างกันออกไปเพียงแค่การใส่เนื้อสัตว์ และบางที่ก็จะชอบทำเป็นต้มยำกุ้งน้ำข้นซึ่งเป็นอะไรที่เข้ากันเป็นอย่างมาก ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงต่างประเทศ และดังจนมีชื่อหนังตั้งชื่อเรื่องเป็น ต้มยำกุ้ง ด้วยเช่นกัน โดยการตั้งชื่อหนังว่า ต้มยำกุ้งนั้น น่าจะเป็นการสื่อถึงชื่อที่รู้จักกันดีของชาวต่างชาติและอาจจะเป็นเพราะได้โปรโมทอาหารไทยไปในตัว


อันดับที่ 3 Tom Kha Kai Or Chicken In Coconut Milk Soup (ต้มข่าไก่)
ต้มข่าไก่ เป็นเมนูคล้ายกับต้มยำไก่และต้มยำกุ้ง โดยที่ต้มข่าไก่จะมีกะทิมาเกี่ยวข้องในส่วนของน้ำให้รสชาติที่อร่อย หอมหวาน มัน กลมกล่อมเป็นอย่างมาก ใครได้ลิ้มรสก็จะต้องติดใจและต้องหาทานเพิ่มด้วย


อันดับที่ 2 Kang Keaw Wan Kai or Chicken Curry (Green) (แกงเขียวหวานไก่)
แกงเขียวหวานไก่ สุดยอดอาหารไทยที่คนไทยเองยังชอบทานเมนูนี้ เป็นเมนูที่หาทานได้ง่ายมากและตัวของแกงเขียวหวานสามารถทานคู่กับข้าวสวยและขนมจีนได้เป็นอย่างดี ด้วยรสชาติของเครื่องเทศที่มีส่วนผสมของน้ำกะทิจึงทำให้เมนูนี้มีรสชาติที่อร่อยลงตัว  พร้อมกับความเผ็ดที่พอดี เพราะชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะไม่ชอบทานเผ็ดมากนักจึงเป็นเมนูที่ตอบโจทย์ก็ว่าได้


อันดับที่ 1 Pad Thai (ผัดไทย)
ผัดไทย เป็นอาหารที่ทานได้ง่ายมีเครื่องเทศมากมาย ยิ่งเป็นผัดไทยกุ้งสด ยิ่งเป็นอะไรที่เข้ากันเป็นอย่างมาก ไหนจะมีถั่วปน เต้าหู้ ต้นหอม กุ้งแห้ง ไข่ ไชโป๊ ถั่วงอกดิบ ผักสด เรียกได้ว่าเมนูนี้ยกให้ครองอันดับ 1 เลยก็ว่าได้ ยิ่งร้านไหนทำอร่อยยิ่งทำให้คนกินติดใจทานได้ทุกวันสมและที่ฝรั่งจะชอบทานเมนูนี้กัน      

อ้างอิง https://www.ietr.org/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%95/



                                                                    Homepage



















                             

10 อันดับ แมวนิยมเลี้ย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แมวแต่ละพันธุ์
               หากพูดถึงเรื่องของน้องเหมียว เพื่อนๆ มีสายพันธุ์แมวไหนที่สนใจเป็นพิเศษกันบ้างรึยังคะ? แล้วรู้ไหมคะว่าน้องแมวที่คนไทยนิยมเลี้ยงกันนั้นมีพันธุ์อะไรบ้าง ลองมาดูความน่ารักของน้องเหมียวที่เรากำลังจะนำเสนอต่อไปนี้กันดีกว่าค่ะ ว่ามีสายพันธุ์อะไรกันบ้างน้า

พันธุ์แมว1

1.แมวเปอร์เซีย (Persian)
ถือได้ว่าเป็นแมวที่สวยงามมากในทางฝั่งตะวันออกกลาง แน่นอนเลยว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกีกับอิหร่านในปัจจุบัน เปอร์เซียถือเป็นแมวต่างประเทศสายพันธุ์แรกๆ เลยก็ว่าได้ที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย จึงทำให้แมวสายพันธุ์นี้ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่คนรักแมว เพราะนอกจากจะมีหน้าตาน่าเอ็นดูแล้ว ขนฟูของเจ้าแมวเปอร์เซียนี้ยังมีสีสันที่หลากหลาย และนิสัยส่วนตัวก็แสนน่ารักอีกด้วยล่ะค่ะ แหม่…แบบนี้ใครไม่ตกหลุมรักก็บ้าแล้ว
การเลี้ยงดูแมวเปอร์เซีย
เนื่องจากลักษณะของเจ้าเปอร์เซียนั้นมีหัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต มีจมูกที่หัก พูดง่ายๆ ก็คือ สังเกตได้เมื่อมองจากด้านข้าง จะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากได้อย่างชัดเจนนั่นเองค่ะ และนอกจากหน้าตาที่น่ารักแล้ว ยังเป็นแมวที่ขี้ประจบ มีความซุกซน เข้ากับคนได้ง่าย และเป็นแมวที่มีไหวพริบมากทีเดียว จงคำนึงไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเลยค่ะ เพราะผู้เลี้ยงจะต้องหมั่นทำความสะอาด แปรงขนเจ้าเหมียวของเราอยู่บ่อยๆ เพื่อให้ขนสวย ไม่เป็นสังกะตัง แถมยังจะช่วยไม่ให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค รวมทั้งพยาธิต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบ และเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย
พันธุ์แมว2
2.อเมริกันช็อตแฮร์ (American Short Hair)
แมวสายพันธุ์อเมริกาที่สืบเชื้อสายมาจากประเทศในแถบยุโรป และแพร่พันธุ์มายังอเมริกา เมื่อสมัยที่ชาวยุโรปเดินทางไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ โดยพวกเขาได้นำแมวอเมริกันช็อตแฮร์ติดเรือไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้หนูทำลายข้าวของ และได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ในเวลาต่อมา จนกระทั่งกลายเป็นแมวพื้นเมืองขนสั้นของอเมริกาไปในที่สุด
การเลี้ยงดูแมวอเมริกันช็อตแฮร์
โดยทั่วไปแล้วน้องเหมียวอเมริกันชอร์ตแฮร์จะมีขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ลำตัวโต
มีกล้ามเนื้อแข็งแรง มองเห็นชัดเจน อกใหญ่ ขาใหญ่ ใบหูมีขอบเป็นทรงกลมมน ส่วนหัวมีลักษณะเป็นรูปไข่ ดวงตากลมโตเป็นสีเขียวมรกต มีลักษณะสีขน ส่วนอุปนิสัยของอเมริกันช็อตแฮร์นั้นเป็นแมวที่ช่างสงสัย นิสัยร่าเริง ชอบเล่น มีเสน่ห์ แต่จะฝึกค่อนข้างยาก เจ้าของควรจะคลุกคลีและอยู่กับแมวให้มากๆ การดูแลเจ้าเหมียวพันธุ์นี้ก็จะค่อนข้างยุ่งยากไปสักหน่อยค่ะ เพราะว่าน้องจะค่อนข้างที่จะเป็นหวัดง่าย และเป็นเชื้อราง่าย โดยก่อนจะตัดสินใจเลี้ยงน้องแมวพันธุ์นี้ ควรศึกษาและทำความเข้าใจให้ดีก่อน เพราะถ้าหากเจ้าของดูแลไม่ดีก็จะเลี้ยงลำบาก สำหรับใครที่เลี้ยงอยู่แล้ว ควรพาแมวไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนเป็นประจำ ส่วนปัญหาถัดมาคือ น้องจะขนร่วง แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหาอะไรมากมายนักค่ะ เพราะน้องจะผลัดขนเพียงแค่ปีละ 2ครั้ง เท่านั้นจ้า
พันธุ์แมว3
3.สก็อตติช โฟลด์ (Scottish Fold)
เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศสกอตแลนด์ โดยแมวพันธุ์ Scottish Fold นี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1961 ในสกอตแลนด์ ชื่อว่า Susie มีลักษณะเป็นแมวสีขาวที่มีหูพับไปมาทั้งด้านหน้า และด้านหลังได้ ใบหน้ามีลักษณะคล้ายนกฮูก หรือหน้าของตัวนาก ผู้ที่สังเกตเห็นคนแรกคือ William Ross มีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ William และ Marry ภรรยาของเขาเป็นคนที่รักแมวมาก ทั้งคู่สนใจในตัวของเจ้า Susie เป็นอย่างมากมาก เมื่อเจ้า Susie ได้ออกลูกเป็นลูกแมวหูพับ 2 ตัว ครอบครัวของเขาจึงขอลูกแมวตัวเมียตัวหนึ่งมาเลี้ยง และได้ตั้งชื่อว่า Snooks นี่จึงเป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์ Scottish Fold
การเลี้ยงดูแมวสก็อตติช โฟลด์
โดยเจ้าสก็อตติช โฟลด์ จะเป็นแมวที่ไม่ค่อยส่งเสียง และชอบทำกิจกรรมในระดับผู้ดีคือ ไม่ค่อยกระโดดไปเล่นซนนัก มันชอบที่จะเล่นเฉพาะเวลาที่มีเจ้าของมาร่วมเล่นด้วยเท่านั้น เจ้าเหมียวสายพันธุ์นี้จะมี 2 แบบ คือ ขนสั้นกับขนยาว ซึ่งทั้ง 2 แบบจะมีลักษณะตัวกลม หัวกลม ช่วงคอสั้น ดวงตากลมใหญ่ และมีหูตั้งตรงขนาดกลาง ไปจนถึงหูพับขนาดเล็ก ปลายหูส่วนใหญ่จะกลม หูของลูกแมวจะเริ่มพับในช่วง 2-3 อาทิตย์แรก ซึ่งบางตัวมีปากโค้งได้รูปรับกับคางพอดี จึงเป็นที่มาของสมญานามว่า Smiling Cat หรือ แมวยิ้ม นั่นเอง บางตัวอาจไม่ชอบนอนบนตัก แต่เลือกที่จะอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าของแทน เหตุอาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งเจ้าเหมียวพันธุ์นี้มีอุปนิสัยน่ารัก และค่อนข้างสุภาพเรียบร้อย แถมยังขี้อ้อนแบบสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ แหมเป็นใครใครจะไม่รัก แถมการดูแลเจ้าเหมียวสก็อตติชนี้ก็ง่ายแสนง่าย แค่หมั่นแปรงขน 1-2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ แต่คงต้องเพิ่มการดูแลมากขึ้นอีกสักหน่อยนะคะ เพราะหากคุณเลือกที่จะเลี้ยงแบบขนยาวแล้วล่ะก็ ต้องดูแลเยอะสักหน่อยโดยเฉพาะบริเวณใบหูของน้องแมวนั่นเอง ให้หมั่นทำความสะอาดบ่อยครั้งพอๆ กับการแปรงขน เพราะการที่เราดูแลน้องแมวให้ดีก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพของน้องนั่นเองจ้า
พันธุ์แมว4
4..แมวโคราช (Korat)
เจ้าเหมียวพันธุ์นี้มีชื่อเรียกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แมวมาเลศ แมวดอกเลา หรือแมวสีสวาด ซึ่งเป็นหนึ่งใน 17 แมวมงคลของไทย ที่ได้รับพระราชทานชื่อมาจาก สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 5 ตามแหล่งกำเนิดของแมวพันธุ์นี้พบใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ชื่อเสียงของแมวโคราชโด่งดังไปทั่วโลก หลังจากชนะเลิศงานประกวดประจำปีที่สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1966 ว้าว ว ว ว ว แมวไทยดังไกลไปเมืองนอกเลยนะเหมี๊ย ว ว วว
การเลี้ยงดูแมวโคราช
ลักษณะแมวโคราชนั้นจะมีขนเรียบ โคนขนสีเทาขุ่น ส่วนปลายขนนั้นจะเป็นสีคล้ายผมหงอก และเป็นสีเช่นนี้ตลอดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง โดยปกติแล้ววิธีการดูแลก็จะเหมือนแมวไทยทั่วไปนั่นแหละค่ะ เราต้องฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนด และควรใส่ใจในเรื่องการถ่ายพยาธิให้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการฉีดวัคซีน 3 ชนิดต่อปีให้ครบถ้วน นั่นก็คือ วัคซีนป้องกันหัดแมว ลูคีเมีย และพิษสุนัขบ้า นั่นเองค่ะ
พันธุ์แมว5
5.แมววิเชียรมาศ
แมวไทยที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดีในชื่อ Siamese Cat หรือ แมวสยาม หนึ่งในต้นตระกูลของแมวไทยที่ถูกนำไปปรับปรุงจนเกิดแมวไทยอีกหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งตามตำนานสมุดข่อยได้กล่าวไว้ว่า หากใครได้เลี้ยงแมววิเชียรมาศจะได้เป็นขุนนาง เพราะถือว่าแมววิเชียรมาศเป็นแมวแห่งโชคลาภนั่นเอง
การเลี้ยงดูแมววิเชียรมาศ
นิสัยโดยปกติของเจ้าเหมียววิเชียรมาศนี้ ก็คล้ายกับแมวไทยทั่วไป คือ มีความฉลาด คล่องแคล่ว ปราดเปรียวเหมือนกับรูปร่าง มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่จะสุภาพเรียบร้อย ถึงภายนอกเจ้าวิเชียรมาศนั้นออกจะดูรักสันโดษไปสักหน่อย แต่ความจริงแล้วกลับไม่ชอบอยู่ตามลำพัง ดังนั้น มันจึงเป็นแมวขี้อ้อน ประจบประแจงเก่ง โดยการเลี้ยงดูเจ้าเหมียววิเชียรมาศนี้ ในช่วงเวลากลางวันเราควรปล่อยให้ออกไปวิ่งเล่นได้ตามประสา เพราะเจ้าเหมียวนั้นรักอิสระ แต่ก็ควรดูแลในเรื่องของการขับถ่ายสักหน่อย เพราะมันจะชอบไปขับถ่ายในที่ที่เป็นจุด หรือมุมอับของบ้าน ซึ่งทางที่ดีเราควรหัดให้เจ้าเหมียวฝึกอึ ฉี่ ในกระบะทรายที่มุมใดมุมหนึ่งของบ้านให้เป็นนิสัย เพราะหากเจ้าแมวที่เป็นตัวผู้โตขึ้นแล้ว มันมักจะขับถ่ายไม่ค่อยเป็นที่สักเท่าไหร่หน่ะสิ
พันธุ์แมว6
6.แมวขาวมณี 
เรื่องของขาวมณีนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันความเป็นมาที่ชัดเจนสักเท่าไรค่ะ เพราะจากประวัติที่ว่ามานั้น ขาวมณีจะเริ่มมีให้พบเห็นมากก็ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งมีข้อสันนิษฐานกันว่า ขาวมณีน่าจะเป็นแมวที่ติดมากับเรือสำเภาของพ่อค้าจีน ที่เลี้ยงไว้จับหนูบนเรือ แต่เนื่องจากสีขาวเป็นสีที่ดูสะอาด และเป็นสีมงคลสำหรับคนไทย ดังนั้น แมวขาวมณีจึงกลายเป็นแมวบ้านนับจากนั้นเป็นต้นมา ที่สำคัญแมวพันธุ์นี้ยังเป็นแมวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษด้วย
การเลี้ยงดูแมวขาวมณี
จุดเด่นของแมวขาวมณี นอกจากจะมีขนสีขาวปลอดทั่วทั้งตัวแล้ว นัยน์ตาทั้ง 2 ข้างของแมวขาวมณียังแตกต่างไปจากแมวไทยพันธุ์อื่น โดยมีทั้งนัยน์ตาสีฟ้า สีเหลืองอำพัน และตา 2 สี ขนสีขาวเนียนสนิท โดยส่วนใหญ่แล้วเจ้าขาวมณีนี้เป็นแมวเชื่อง ช่างประจบประแจง ชอบเข้ามาออดอ้อน ไม่ว่าเจ้าของจะทำอะไรอยู่ก็ตาม แถมเชื่อฟังคำสั่งเจ้าของ จึงเหมาะกับการเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ดีเลยทีเดียว โดยส่วนมากมักจะนิยมเลี้ยงขาวมณีไว้เป็นคู่ ว่าแล้วก็อยากจะเลี้ยงแมวตัวขาวๆ ไว้แก้เหงาสักตัวแล้วล่ะสิ
พันธุ์แมว7

7.บริติช ช็อตแฮร์ (British Shorthair)

แมวท้องถิ่นสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดบนเกาะอังกฤษ ซึ่งเล่ากันว่าบรรพบุรุษของพวกมันมาจากแมวที่ชาวโรมันเอามาเลี้ยงเมื่อ 2,000 ปี ก่อน และเป็นแมวที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศต้นกำเนิด และประเทศอื่นแถบยุโรปจนถึงยุคปัจจุบัน เนื่องจากมันเป็นแมวที่มีความเฉลียวฉลาด จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฝึกสัตว์ เพื่อใช้ในการโฆษณาทางโทรทัศน์ หรือเข้าฉากในภาพยนตร์ของฮอลลีวูดเลยเชียวนะ
การเลี้ยงดูแมวบริติช ช็อตแฮร์ 
แมวบริติช ชอร์ตแฮร์ เป็นแมวที่มีลักษณะกะทัดรัด แข็งแรง หน้าอกเต็มและกว้าง ขาสั้น อุ้งเท้ากลม หางหนา ดูแลง่าย อายุเฉลี่ยอยู่ประมาณ 15-20 ปี แต่อาจจะมีพัฒนาการและการเจริญเติบโตช้าอยู่สักหน่อย ควรเลี้ยงในบ้าน ส่วนในเรื่องนิสัยของเจ้าแมวพันธุ์นี้ค่อนข้างนิ่งสงบกว่าพันธุ์อื่นๆ เป็นมิตรกับผู้คนรวมถึงสัตว์ชนิดอื่น ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ง่าย เมื่อใครเลี้ยงแมวพันธุ์นี้จะพบได้ว่าไม่ค่อยพบเห็นเจ้าแมวสายพันธุ์นี้ส่งเสียงรบกวน แสดงอาการก้าวร้าว หรือทำลายสิ่งของให้เห็น นับว่าเป็นแมวจากเมืองผู้ดีจริงๆ นะเนี่ย ว้าว ว ว ว ว ว เยี่ยมไปเลยเจ้าเหมียว
พันธุ์แมว8
8.แมวเอ็กโซติก (Exotic)
เจ้าแมวหน้าบูดๆ แบบบอกบุญไม่รับ มีลักษณะดั้งหัก สืบเชื้อสายมาจากแมว 2 สายพันธุ์ ระหว่างแมวเปอร์เซีย กับ แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เลยกลายมาเป็นเจ้าแมวเอ็กโซติกนั่นเอง โดยแมวพันธุ์นี้จะมีหลากหลายสีแตกต่างกันไป เช่น Exotic Cream Tabby, Exotic Blue Tabby, Exotic Red Tabby นั่นเองจ้า
การเลี้ยงดูแมวเอ็กโซติก
โดยทั่วไปของน้องแมวเอ็กโซติกเนี่ยจะคล้ายๆ แมวเปอร์เซียไปซะหมดเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นหัวที่กลม กะโหลกใหญ่ ใบหูเล็ก ดั้งหักเล็กน้อยแบบตะมุตะมิ แต่เส้นขนที่นุ่มสั้นคล้ายกับกำมะหยี่ นับได้ว่าเป็นจุดเด่นของสายพันธุ์นี้เลยค่ะ ส่วนเรื่องนิสัยก็คงไม่มีอะไรแตกต่างจากเปอร์เซียเท่าไหร่ เพราะเจ้าเอ็กโซติกนี้เป็นแมวที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ และไม่ค่อยหงุดหงิด นอกจากนี้ยังพบว่าบางตัวจะชอบนั่งอยู่บนไหล่ของคุณ เวลาคุณนั่งเล่นด้วยก็เป็นได้ ดังนั้น คุณแทบจะไม่ได้ยินเสียงร้องของแมวพันธุ์นี้เลยค่ะ ส่วนการดูแลก็แทบจะไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้น่ากังวลมาก ถือเป็นพันธุ์แมวที่น่าเลี้ยงไว้ในบ้าน แถมการดูแลรักษาน้อยกว่าแมวเปอร์เซีย เพราะขนแมวพันธุ์นี้จะไม่จับตัวเป็นก้อน หรือพันกันให้ยุ่งเหยิงอีกด้วย
พันธุ์แมว9
9.แมวเมนคูน (Main Coon)
พี่ใหญ่ใจดีแมวเมนคูน ถึงแม้ว่ามันจะมีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าแมวปกติจนได้รับสมญานามว่า Gentel Giant โดยชื่อของแมวสายพันธุ์นี้ มีที่มาจากรัฐเมน (Maine) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของมัน ส่วนคำว่า คูน (Coon) มาจากคำบอกเล่าของชาวพื้นเมืองที่กล่าวว่า แมวบ้านเผลอไปกุ๊กกิ๊กกับตัวแรคคูนจนมีการจับ 2 คำนี้มารวมกัน กลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันทั่วไปว่า เมนคูน
การเลี้ยงดูแมวเมนคูน
แมวเมนคูนนั้นจะมีรูปร่างที่สมส่วน ดูสง่างาม มั่นคงแข็งแรง เมื่อตัวโตเต็มที่จะมีความยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหางประมาณ 1 เมตร ด้วยกัน น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 12-15 กิโลกรัม หู้ย ย ย ถือว่าหนักใช้ได้เลยนะ นี่แมวหรือหมูชักไม่แน่ใจแล้วหล่ะสิ มีนิสัยขี้อ้อน ขี้เล่น ร่าเริง โดยตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยเจริญพันธุ์ อายุขัยของแมวพันธุ์นี้อยู่ที่ราวๆ 15 ปี แต่เนื่องจากร่างกายที่ค่อนข้างใหญ่ การให้อาหารแบบแมวทั่วไปอาจไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต เจ้าของควรเสริมด้วยเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ ในส่วนขนของนั้นหวีง่าย เพราะเป็นแมวกึ่งขนยาว จึงไม่มีปัญหาขนพันกันแบบแมวเปอร์เซียจ้า
พันธุ์แมว10
10.แมวเบงกอล (Bengal)
แมวเบงกอลเป็นแมวที่มีลวดลายสวยงาม คล้ายกับลูกเสือดาวตัวน้อยๆ โดยสันนิษฐานว่าแมวเบงกอลนั้นเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่าง แมวดาวกับแมวบ้านสายพันธุ์อียิปต์เชียนมัวร์ ซึ่งเป็นแมวอียิปต์โบราณ ที่มีลักษณะคล้ายกับแมวป่า ถูกนำมาพัฒนาสายพันธุ์ โดย Jean Mills หญิงสาวชาวอเมริกันที่คลั่งไคล้ในลายของแมวป่า
การเลี้ยงดูแมวเบงกอล
ถึงแม้แมวเบงกอลจะสืบสายพันธุ์มาจากแมวป่า แต่กลับมีรูปร่างที่เพรียวยาว ช่วงสะโพกมีความสูงกว่าหัวไหล่ ปลายหางชี้ลง ใบหูกลมสั้น ตารูปไข่ มีช่วงปากกับจมูกกลมกว่าแมวบ้าน และมีจุดเด่นอยู่ที่ลายขนคล้ายแมวป่า หรือที่เรียกกันว่า ลายหินอ่อน พวกมันมีนิสัยที่น่ารัก ไม่ดุร้าย นอกจากนี้แมวเบงกอลยังเป็นแมวที่ซุกซน ชอบวิ่งไล่สิ่งของต่างๆ รวมทั้งชอบปีนป่ายขึ้นที่สูงอยู่เป็นประจำ การเลี้ยงดูก็เหมือนกับการดูแลแมวทั่วไป ควรใส่ใจในเรื่องอาหารเป็นพิเศษ โดยต้องเพิ่มเมนูเนื้อวัวสดจากอาหารที่กินเป็นประจำ ซึ่งเนื้อสดที่ให้ก็ต้องผ่านการเก็บรักษาด้วยการแช่แข็ง เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย แต่ถ้าอยากให้มันมีสุขภาพดี และมีขนสวยงาม ห้ามให้เนื้อไก่หรือเนื้อหมูโดยเด็ดขาด
และนี่ก็คือ 10 สายพันธุ์แมวที่คนไทยนิยมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคลายเหงามากที่สุดค่ะ เป็นอย่างไรบ้างเอ่ย มีใครสนใจหรือเล็งพันธุ์ไหนไว้บ้างไหมคะ? แต่อยากจะฝากไว้สักนิดนึงว่าเมื่อเราตัดสินใจจะรับเจ้าเหมียวมาเลี้ยงแล้ว เราก็ควรดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุด เพราะแต่ละสายพันธุ์ก็มีขั้นตอนการดูแลยากง่ายแตกต่างกันไปนั่นเองค่ะ